|
ประวัติโดยสังเขป
|
วัน/เดือน/ปีเกิด
|
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1871 ที่สังฆมณฑลแรนส์
|
เข้าศึกษา
|
ในบ้านเณรคณะมิสซังต่างประเทศในปี ค.ศ. 1890
|
รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์
|
เดือนกันยายน ค.ศ.1894
|
เดินทางมายังประเทศไทย
|
วันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1894
|
ถึงกรุงเทพฯ
|
วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.
1894 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นปลัดที่วัดแปดริ้ว ให้ดูแลเฉพาะวัดดอนกระทุ่มยาง
|
|
คุณพ่ออยู่ที่นี่ 1 ปี
เป็นปีที่ยากลำบากมาก สภาพบริเวณวัดขณะนั้นเป็นป่าดงพงไพร
มีความหวังมากในเรื่องคนกลับใจ แต่ก็มีคนกลับใจน้อยมาก คือแทบไม่มีเลย
คุณพ่อเคยพูดเรื่องที่เริ่มงานแพร่ธรรมแบบนี้บ่อยๆ
|
|
คุณพ่อได้ประจำอยู่ที่วัดปากลัดและปากน้ำ
ซึ่งขึ้นอยู่กับวัดกาลหว่าร์ นอกนั้น คุณพ่อยังไปดูแลคริสตัง ในอำเภอพระโขนง
และได้ช่วยตั้งกลุ่มคริสตชนที่หัวตะเข้ คุณพ่อไปที่นั่นเดือนละครั้ง
|
ปี ค.ศ. 1907 หรือ1908
|
คุณพ่อเป็นปลัดที่วัดกาลหว่าร์ตลาดน้อย ดูแลคริสตชนชาวจีน
|
เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1908
|
คุณพ่อเดินทางไปพักผ่อนที่ประเทศฝรั่งเศส และกลับมา
|
ปี ค.ศ. 1910
|
ในสมัยพระสังฆราชแปร์รอส
ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุขมิสซังสยาม
ท่านได้แต่งตั้งคุณพ่อริชารด์เป็นเจ้าอาวาสวัดแม่กลองและวัดท่าจีน
คุณพ่ออยู่ในตำแหน่ง 1 ปี ก็ย้ายไปประจำอยู่ที่วัดดอนกระเบื้อง
พระสังฆราชแปร์รอส บันทึกไว้ในรายงานประจำ
|
ปี ค.ศ. 1912
|
เกี่ยวกับคุณพ่อว่า
“ที่วัดดอนกระเบื้อง
คุณพ่อพยายามรวบรวมคริสตังที่กระจัดกระจายอยู่ห่างไกลวัด
เพราะความจำเป็นในการประกอบอาชีพ ให้มาอยู่ในบริเวณวัด
คุณพ่อเพิ่งสร้างวัดน้อยที่ตำบลบางตาล วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากทางรถไฟ
สายกรุงเทพฯ-เพชรบุรี
|
|
ระหว่างประจำอยู่ที่วัดดอนกระเบื้อง
คุณพ่อทุ่มเทการทำงานเอาใจใส่วิญญาณของพวกคริสตัง
แนะนำให้ประกอบอาชีพที่พวกเขาพอใจ เพื่อการนี้
คุณพ่อได้ซื้อที่ดินและสร้างวัดด้วย คุณพ่อบันทึกไว้
|
ปี ค.ศ.1917
|
“กลุ่มคริสตชนดอนกระเบื้องดำรงอยู่ตามปรกติหลายครอบครัว
ได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านโป่ง ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สำคัญ
การทำมาหากินก็แจ่มใสกว่าที่นี่” คุณพ่อบันทึก
|
|
“ก่อนหน้านี้หลายปี
ข้าพเจ้านึกล่วงหน้าว่าจะมีคริสตังย้ายไปเช่นนี้ จึงได้จัดการซื้อที่ดิน
ไว้แปลงหนึ่ง และถ้ายังมีคริสตังย้ายไปอีกที่บ้านโป่งต่อไป
ข้าพเจ้าก็จะจัดสร้างวัดน้อยในสถานที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางตลาด
ที่กำลังขยายออกไปเรื่อยๆ”คุณพ่อคาดการณ์ถูกต้อง
คุณพ่อได้สร้างวัดน้อยและเปิดโรงเรียนด้วย คุณพ่อบันทึกเองว่า
|
ปี ค.ศ. 1923
|
“ที่บ้านโป่ง
คุณพ่อจะเปิดโรงเรียนหลังไม่ใหญ่นัก มีนักเรียน50 คน
แล้วมีเด็กพุทธมาเรียนคำสอนอยู่ 12 คน โรงเรียนหลังนี้ตั้งอยู่ชั่วคราวในวัด
เพิ่งได้สร้างนั้น จนกว่าจะมีปัจจัยสร้างโรงเรียนที่เหมาะสม”
|
ปี ค.ศ. 1924
|
“บ้านโป่งเป็นศูนย์กลาง
ซึ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต อาคารที่อยู่อาศัยก็ก่อสร้างมากขึ้นเรื่อยๆ
สร้างยังไม่ทันเสร็จ ก็มีคนมาจองไว้แล้ว ตลาดบ้านโป่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
มีรถไฟสะดวกต่อการไปมาในระหว่างตำบลที่อยู่ใกล้เคียง ไปกรุงเทพฯ ก็สะดวก
แนวโน้วในการพัฒนาก็สูงมาก ทางด้านศาสนานั้น อาจถือเป็นศูนย์ของกลุ่มคริสตัง
จริงอยู่ จำนวนคริสตังยังไม่มีมาก
เพราะเพิ่งเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเมื่อไม่นานมานี้
แต่ทางรถไฟก็อำนวยความสะดวกในการเดินทางไปสู่ที่ต่างๆ ด้วยเหตุผลเหล่านี้
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจสร้างบ้านพักพระสงฆ์ ทั้งที่เงินก็มีไม่มากนัก
นอกนั้นจำนวนคริสตังก็เพิ่มมากขึ้น มีถึง 200 คน จำนวนนี้จะเพิ่มมากขึ้น
ถ้าเราสามารถซื้อที่ดินให้คริสตังปลูกบ้านอยู่ และทำมาหากิน
ส่วนโรงเรียนก็ใช้วัดนั่นเองเป็นที่สอนเด็กซึ่งมีจำนวนถึง 80 คน
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาเยซูเจ้าได้รับการสรรเสริญเทิดทูน
นี่คือเสียงร้องจากหัวใจของข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าได้เห็นความเจริญก้าวหน้าในรอบปีนี้ บางคนอาจคิดว่า
ข้าพเจ้าโม้มากไปหน่อย เพราะผลงานที่ได้ทำเพื่อพระมีเพียงเล็กน้อย
แต่ก็ขอถวายแด่พระเป็นเจ้า วัดดอนกระเบื้องกำลังเจริญ ผู้ใหญ่รับศีลล้างบาป 16
คน มีผู้รับศีลมหาสนิทจำนวน 7,300 ครั้ง (ปี ค.ศ. 1920)
|
ปี ค.ศ. 1925
|
เพิ่มขึ้นเป็น10,000 ครั้ง ส่วนจำนวนผู้ใหญ่รับศีลล้างบาป ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
|
ปี ค.ศ. 1926
|
ยอดของผู้รับศีลล้างบาปเพิ่มขึ้นถึง
89 คน เป็นสถิติชนะเลิศก็ว่าได้” คุณพ่อไม่ละเลยด้านการก่อสร้าง
ดังมีบันทึกของคุณพ่อต่อไปนี้ “นับตั้งแต่ได้มารับผิด
ชอบที่วัดดอนกระเบื้องและสาขา”
|
ปี ค.ศ. 1923
|
ข้าพเจ้ามีปัญหาหนักใจมากเรื่องสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า
และโรงเรียน เพราะอยู่ในสภาพทรุดโทรม
รายได้ของวัดพอแค่สำหรับรักษาสถานที่เหล่านั้นให้อยู่ตามสภาพที่เป็นอยู่
แต่ไม่มีงบประมาณสำหรับการก่อสร้างงานใหญ่
ที่สุดแม้มิได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็น แต่อาศัยพระพรของพระหฤทัย
ก็สามารถสร้างโรงเรียนและสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นหลังใหม
|
ปี ค.ศ. 1926
|
เกิดโรคระบาดขึ้นที่บ้านโป่ง
คุณพ่อบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “โรคระบาดแผ่ขยายอยู่หลายเดือน
มีคนตายจำนวนมาก เดชะ พวกคริสตังได้รับ 3 คน
นักบุญยอแซฟช่วยปกป้องพวกเขาจากภัยพิบัติครั้งนี้”
คุณพ่อบันทึกเพิ่มเติมว่า“กลุ่มคนจีนในตลาด
แสดงความรู้สึกว่ารังเกียจศาสนาคริสตัง พวกพ่อค้า เถ้าแก่ใหญ่ๆ
และเถ้าแก่ระดับธรรมดา ดื้อดึงมากในเรื่องความศรัทธานิยมต่อพระศาสนา”
|
|
การปกครองให้คณะซาเลเซียน
พระสังฆราชแปร์รอส บันทึกไว้ดังนี้
“สังฆมณฑลสยามได้แสดงความใจกว้างมอบให้พระสงฆ์ซาเลเซียนดูแลปกครองภาคตะวันตกเฉียงใต้
ตั้งแต่เขตจังหวัดราชบุรี ไปจนถึงทางเหนือของแหลมมะละกา วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1929
บรรดาทรัพย์สิน เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ทางสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
ก็มอบให้คณะซาเลเซียน เพราะความรักต่อพระเป็นเจ้า ทรัพย์สินเหล่านี้
ผู้ที่ทำงานแพร่ธรรมรุ่นเก่าก่อนและพี่น้องบางท่าน
พระสงฆ์ไทยสมัยนั้นได้สะสมไว้ มีมูลค่ามหาศาล จริงอยู่ สิ่งของต่างๆ
นี้อาจจะมีราคาค่างวดมากมายในเชิงเศรษฐกิจ แต่เป็นผลของความเหนื่อยยาก
และความกังวลของผู้ใหญ่
พระเป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงประเมินราคาทรัพย์สินนั้นได้ คุณพ่อริชารด์
คุณพ่อดือรัง คุณพ่อเบเนดิกโต คุณพ่อทีมอเธว คุณพ่อยาโกเบ คุณพ่อเกลแมนเต
คุณพ่อเอดัวร์ และคุณพ่อนิโกเลา ต่างอำลาบรรดาลูกวิญญาณด้วยความอาลัย
แต่คุณพ่อก็น้อมต่อพระชุมภาสูงสุด ซึ่งมอบให้ทำงานในนามของพระองค์
พระสงฆ์คณะซาเลเซียนได้พัฒนาวัด บ้านโป่งศูนย์กลาง
และขยายโรงเรียนที่คุณพ่อริชารด์ ได้สร้างไว้
กลายเป็นโรงเรียนใหญ่มีนักเรียนนับร้อยๆ คณะซาเลเซียนสำนึกถึงบุญคุณ
ที่คุณพ่อริชารด์ได้มีสายตาเห็นการณ์ไกล
ซื้อที่ดินสำหรับวัดในจังหวะที่เหมาะสมมาก
|
|
คุณพ่อริชารด์ย้ายไปวัดหนองหิน ซึ่งคุณพ่อดูแลอยู่แล้ว
เป็นวัดเล็กตั้งอยู่จังหวัดนครปฐม เป็นกลุ่มน้อยที่ยากจน
และได้รับความยากลำบากมาก “ที่หนองหิน คริสตังได้รับความลำบากตลอด 3 ปี ติดๆ
กัน สองปีแรกน้ำท่วมมาก ปีต่อมาก็แล้งฝน ทำนาไม่ได้ผล”
|
|
ดังกับที่คุณพ่อริชารด์เคยจากดอนกระเบื้อง
มุ่งจะไปบ้านโป่ง ที่หนองหินนี้
คุณพ่อหนักใจต้องการจะไปตั้งไปเปิดในเมืองใกล้เคียง คือ นครปฐม
คุณพ่อบันทึกไว้ในปี ค.ศ. 1932 ดังนี้ “เดือนกันยายน
มีความหวังอยู่มากในการก่อตั้งกลุ่มคริสตชน ที่จังหวัดนครปฐม
แต่พระเป็นเจ้าไม่ทรงอนุมัติให้เป็นไปตาม ที่เป็นเช่นนี้
ก็เพราะว่าไม่มีเงิน โครงการจึงล้มเหลว ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว
ข้าพเจ้ายังไม่มีบุคลากรสำหรับดำเนินการ พวกคริสตังไม่มีอิทธิพลในสังคม
เพราะเขายากจน และมีจำนวนน้อยมาก ทั้งหมดนี้ ทำให้เราคิดว่า
จะเป็นการยากที่จะไปตั้งศูนย์คริสตชนในเมืองนี้
อันเป็นที่จาริกแสวงบุญพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงมาก ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าใจ
เพราะพวกคริสเตียนได้เริ่มทำงานแพร่ธรรมที่หนองหิน
สภาพการณ์ลำบากมากขึ้นทุกที เพราะพวกคริสตชนยากจน”
|
|
อย่างไรก็ดี ในที่สุด
คุณพ่อก็ชนะอุปสรรค คุณพ่อได้สร้างวัดขึ้นสำเร็จ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1937
มีพิธีเสกวัดใหม่ ชื่อ
วัดพระคริสตราชา พระสังฆราชแปร์รอสเป็นประธานในพิธี คุณพ่อชันลิแอร์
คุณพ่อตาปี คุณพ่อโชแรง คุณพ่อกาวัลลา จากบ้านโป่ง คุณพ่อเลาแรนเต
จากวัดดอนกระเบื้อง และคุณพ่อยอแซฟเคียมสูน ซึ่งเป็นผู้แทนของคุณพ่อเออเยน
เล็กแชร์ ผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่สำหรับการก่อสร้างวัดใหม่
|
ปี ค.ศ.1935
|
คุณพ่อริชารด์
มาประจำอยู่ที่วัดกาลหว่าร์ ตลอดน้อย ในฐานะเป็นจิตตาธิการ
อารามพระหฤทัยคลองเตยศูนย์กลางของภคินีพื้นเมือง แต่นานๆ ที่
คุณพ่อไปทำมิสซาวันอาทิตย์ที่หนองหินเป็นครั้งคราว
|
วันที่ 11เมษายน ค.ศ. 1937
|
คุณพ่อนับเป็นพระสงฆ์อาวุโสที่สุดในสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ มีพิธีฉลองนักบุญเลออง
ซึ่งเป็นศาสนนามของอธิการใหญ่คณะมิสซังต่างประเทศ และของอุปสังฆราช
กับของพระสงฆ์อาวุโสแห่งมิสชันนารี (คือคุณพ่อเลออง โรแบรต์ คุณพ่อเลออง
แปรูดง และคุณพ่อเลออง ริชารด์)
คุณพ่อริชารด์ชอบเดินทางไปร่วมการฉลองวัดต่างๆ เช่นวันที่
|
13 มกราคม ค.ศ. 1938
|
คุณพ่อไปฉลองวัดพระวิสุทธิวงศ์
ลำไทร (คุณพ่อดือรัง เป็นเจ้าอาวาส) พร้อมกับพระสงฆ์อีก 13 องค์
|
เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1938
|
คุณพ่อเดินทางไปเชียงใหม่
|
ปี ค.ศ. 1939
|
คุณพ่อเดินทางกลับไปประเทศฝรั่งเศส เพื่อรักษาตัวและผักผ่อน ใน
|
ปี ค.ศ. 1940
|
คุณพ่อเดินทางกลับมาประเทศไทย
วันที่ 30 มีนาคม และในวันที่ 17 เมษายน ปีเดียวกัน
คุณพ่อได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากคลองท่าลาดและท่าเกวียนแต่แล้วก็เกิดการเบียดเบียนศาสนาขึ้นในเมืองไทย
|
วันที่ 28- 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940
|
คุณพ่อ 7 องค์
ถูกปลุกให้ตื่นโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
และได้รับการปฏิบัติอย่างไม่สู้งดงามนัก
คุณพ่อริชารด์ก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เจ้าหน้าที่นำคุณพ่อไปที่แปดริ้ว
และจัดการส่งตัวมาที่กรุงเทพฯ ที่นี่
คุณพ่อพบเพื่อนพระสงฆ์ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เมื่อคุณพ่อรับทราบว่า
ต้องออกจากเขตวัดของตน ภายใน 24 ชั่วโมง
คุณพ่อจึงรับกลับไปที่วัดปากคลองท่าลาด ในวันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ
ภายหลังไม่นาน ทางมิสซังจัดให้บรรดามิสชันนารีที่มากรุงเทพฯ นี้
เดินทางไปอยู่ที่ไซ่ง่อนก่อน และให้คุณพ่อริชารด์เป็นอธิการ ที่นั่น
มิสชันนารีเหล่านั้นไปไซ่ง่อน
|
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1941
|
ในปลายปีเดียวกัน คุณพ่อต่างๆ ก็เดินทางกลับมาประเทศไทยได้ คุณพ่อริชารด์มาถึงกรุงเทพฯ
|
วันที่ 23 ตุลาคม
|
คุณพ่อกลับไปประจำอยู่ที่วัดหนองหิน
|
ปี ค.ศ. 1944
|
คุณพ่อฉลองสุวรรณสมโภชการบวชเป็นพระสงฆ์ที่วัดน
|
ปี ค.ศ.1947
|
คุณพ่อรู้สึกอ่อนกำลัง จึงมาพักที่ศูนย์กลางของคณะ ลาออกจากหน้าที่เพราะสุขภาพไม่อำนวย
|
วันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1953
|
คุณพ่อเข้าโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
“ความจริงคุณพ่อไม่มีโรคอะไร แต่คุณพ่อมีการเหนื่อย เดินเหินไม่สะดวก
เหรัญญิกของมิสซังฯ เห็นว่าคุณพ่อควรเข้าไปพักผ่อนในโรงพยาบาล
ซึ่งมีความสงบเงียบมากกว่าที่ศูนย์ เพราะการพักที่ศูนย์ของมิสซัง
ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง ด้วยว่ามีคุณพ่อมากกว่า 50 องค์
มาพักอยู่เพื่อร่วมงานอภิเษกพระสังฆ ราชมงคล ประคองจิต
พระสังฆราชไทยองค์แรกของมิสซังท่าแร่ฯ สกลนคร
|
วันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1954
|
คุณพ่อริชารด์ฉลองวชิรสมโภช
การบวชเป็นพระสงฆ์ครบ 60 ปี พระสังฆราชโชแรงและพระสงฆ์จำนวนมาก
มาร่วมฉลองงานนี้ ที่คลองเตย คุณพ่อริชารด์ ออกจากโรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้าย
|
ต้นเดือนเมษายน ค.ศ.1956
|
คุณพ่อสุขภาพเสื่อมโทรมลงมาก
|
วันอาทิตย์ที่ 29เมษายน ค.ศ. 1956
|
เวลา 10.00 น คุณพ่อถวายวิญญาณคืนแด่พระเป็นเจ้า
|
วันที่ 2 พฤษภาคม
|
พระสังฆราชโชแรง
ทำมิสซาปลงศพคุณพ่อ มีพระสงฆ์จำนวนมากมาร่วมพิธี
พร้อมกับสัตบุรุษวัดบ้านโป่งเต็มอาสนวิหารอัสสัมชัญ
|
|
คุณพ่อริชารด์
เป็นแบบฉบับชีวิตมิสชันนารีดียอดเยี่ยม คุณพ่อเดินทางผ่านป่าดงพงไพร
เป็นนักก่อสร้าง คุณพ่อช่วยคนต่างศาสนาให้กลับ ใจมากมาย
คุณพ่อเอาใจใส่คริสตังอย่างดี คุณพ่อ เป็นคนศรัทธาแก่กล้า
ในบั้นปลายของชีวิต ภาพที่คุณพ่อทำวัตรประจำวัน ประทับใจ ทุกคนที่ได้พบเห็น
คุณพ่อถือการสวดนี้เป็นกิจวัตรที่ทำอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งคุณพ่อหลง
เพราะวัยชรา จำวันไม่ได้ หรือจำได้ประเดี๋ยวก็ลืมไป
คุณพ่อสวดไม่ตรงกับวันบ่อยๆ พอรู้ตัวก็เริ่มใหม่ คุณพ่อสวดภาวนาบทที่สั้นๆ
ดีกว่าสวดบทยาวแต่สวดผิด ชีวิตของคุณพ่อเป็นแบบ
อย่างที่เราน่าเลียนแบบเท่าที่สามารถทำได้
|
|
ข้อมูลจากจดหมายเหตุ
|