วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลันเหมือนบ่วงแร้ว
วันอาทิตย์นี้เราเริ่มต้นปีใหม่ทางพิธีกรรม
ซึ่งจะช่วยให้เราค่อยๆ ก้าวเดินไปอย่างมั่นคงและมีความหมายในหนทางฝ่ายจิต สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการจากเรา คือ การเปิดใจอย่างเต็มที่
เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
เตือนใจให้เราตระหนักว่า
เรากำลังอยู่ในช่วงระหว่างการเสด็จมาสองครั้ง ของพระคริสตเจ้า กล่าวคือ ในการเสด็จมาครั้งแรกซึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้วราวสองพันกว่าปี เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จลงมาในโลกของเรา ในแบบทารกองค์น้อยๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ และได้เสด็จจากไปในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ถวายองค์เป็นพลีบูชา และในฐานะเป็นองค์พระผู้ไถ่ผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนมชีพ ส่วนการเสด็จมาครั้งที่สองนั้น เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เดียวที่ทรงรู้ว่าเมื่อไร แต่เมื่อนั้นจะหมายถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสตเจ้าในฐานะพระมหากษัตริย์ผู้ทรงชัย ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ และฤทธานุภาพจวบจนกัลปาวสาน
ในหนังสือที่ชื่อว่า ตำนานเกี่ยวกับระฆัง ของ ยอห์น เชอา
ได้เล่าเรื่องว่า ในวันแรกๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างๆ
วันหนึ่ง พระองค์ตรัสกับบรรดาต้นไม้ว่า เรามีของขวัญพิเศษจะมอบให้พวกเจ้า แต่ภายใต้เงื่อนไขหนึ่งข้อคือ พวกเจ้าต้องตื่นอยู่และคอยเฝ้าดูแผ่นดินโลกตลอดเวลาเจ็ดคืน ต้นไม้ทั้งหลายตื่นเต้นมาก และขานรับด้วยความกระตือรือร้น คืนแรกผ่านไปได้ด้วยดี ต้นไม้ทุกต้นตื่นเฝ้าได้ตลอดทั้งคืน พอมาถึงคืนที่สองตอนปลาย ต้นไม้บางต้นเริ่มง่วงเหงาหาวนอน คืนที่สามต้นไม้บางต้นเกิดความคิดดีๆ แก้ง่วง โดยการกระซิบกระซาบกันเพื่อให้ตื่นตัวอยู่เสมอ อย่างไรก็ดี พอมาถึงคืนที่เจ็ด มีต้นไม้เพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่สามารถฝ่าฟันการทดสอบที่ยากลำบากนี้ ไปได้จนประสบความสำเร็จ ได้แก่ ต้นสนสีดาร์ (cedar) สนไพน (pine) สนซพรูซ (spruce) สนเฟอร์ (fir) ฮอลลี่ (holly = ไม้ชนิดหนึ่ง มีใบจักเป็นหนาม ลูกแดงๆ ใบเขียวตลอดฤดูหนาว ใช้ประดับประตูหน้าต่างในเทศกาลคริสต์มาส) และต้นลอเริล (laurel = ต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีใบคล้ายใบต้นพุดและมะลิ ใช้ทำพวงมาลัยสวมศีรษะเป็นเกียรติยศ) และก็เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ ทรงให้ของขวัญพิเศษแก่ต้นไม้เหล่านั้นให้คงความเขียวไว้ตลอดไป และให้เป็นผู้พิทักษ์ป่า ดังที่เราทราบกันดี แม้จะหนาวเยือกเย็นเท่าไร ในขณะที่ต้นไม้อื่นๆ พากันทิ้งใบหมดจน เหลือแต่กิ่งก้านที่ว่างเปล่า แต่ต้นไม้เหล่านี้ยังยืนหยัดอย่างมุ่งมั่นที่จะคงความเขียวไว้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์
เรื่องที่เล่ามาข้างบนเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับเรา
ในการเริ่มต้นเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเชื้อเชิญและทรงท้าทายเราให้เตรียมพร้อมหรือตื่นเฝ้าอยู่เสมอ ในการต้อนรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสตเจ้าเพราะถ้าเราซื่อสัตย์ต่อกระแสเรียก การเป็นคริสตชนของเรา พระองค์ทรงสัญญาจะประทานรางวัลคือชีวิตนิรันดร แก่เรามีข้อเขียนประโยคหนึ่งน่าสนใจมาก ชีวิตที่ยืนยาวที่สุด ก็ยังเป็นการเตรียมตัวสั้นที่สุดสำหรับนิรันดรภาพ
(Fr.James Valladares: Your Words, O Lord, are Spirit, and They are Life Year C pp. 15-16)
ห้วงแห่งเทศกาลนี้
เป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอย เราคอยวันคริสต์มาสที่จะมาถึงพร้อมๆ ไปกับการรอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสตเจ้า ดังนั้น เราน่าจะมาพูดกันถึงเรื่อง ธรรมล้ำลึกแห่งการรอคอย (the mystery of waiting) ทั้งนี้ เพราะมนุษย์เราไม่ชอบการรอคอย เราคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อ น่ารำคาญ แต่วิถีของพระเจ้าสอนให้เรารู้จักรอคอยด้วยจิตตารมณ์ที่ถูกต้อง แม้แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเองยังทรงรู้จักการรอคอย เรื่องที่น่าประทับใจมากมาจากข้อเขียนของคุณเอ็ดเวิร์ด ที ซุลลิแวน (Edward T. Sullivan) เขาให้ข้อชวนสังเกตว่า เมื่อพระเจ้าทรงต้องการให้ภารกิจสำคัญได้รับการปฏิบัติตามจนสำเร็จ หรือ เพื่อทำให้สิ่งผิดกลับมาเป็นสิ่งถูก หรือเมื่อมีภารกิจที่ยากมากที่จะต้องกระทำ พระองค์จะทรงกระทำในแบบพิเศษ ของพระ องค์เอง จะไม่ทรงให้เป็นแบบสำแดงฤทธานุภาพ เช่น มีฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือทำให้โลกสั่นสะเทือนด้วยแผ่นดินไหว ตรงข้ามพระ องค์ทรงส่งกุมารองค์เล็กๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ ให้มาบังเกิดในคอกสัตว์ จากมารดาที่มีความสุภาพมากๆ แล้วนั้น ทรงบรรจุความ คิดและจุดประสงค์ให้กับภารกิจของเด็กน้อยนั้นลงไปในหัวใจของผู้เป็นแม่ แล้วเธอก็ค่อยๆ ใส่ลงไปในความคิดของเด็กน้อย ต่อจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงรอ
และสำหรับเรา
พระเจ้าก็ทรงรอให้เราเข้าสู่กระบวนการนำความศักดิ์สิทธิ์มาสู่ชีวิต ดังนั้น
ต้องไม่ปล่อยใจให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามาย และความกังวลถึงชีวิตนี้ แต่ให้เรารู้จัก ตื่นเฝ้าและภาวนาอยู่เสมอ เพราะแม้ว่าวันนั้นจะมาถึงอย่างฉับพลัน เราก็จะยังคงรอดพ้นได้
|