“เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย”
หญิงสองคนถูกนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของยุวกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เธอทั้งสองเป็นหญิงโสเภณี และอยู่บ้านเดียวกัน ทั้งสองได้คลอดลูกออกมา แต่ทารกหนึ่งในนั้นตายไป บัดนี้ทั้งสองต่างอ้างว่า ทารกที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นลูกของตน
ใครจะบอกได้เล่าว่าคนไหนพูดความจริงกันแน่ (ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการตรวจ DNA)
พระมหากษัตริย์ได้ให้คำตัดสิน โดยให้นำดาบมาผ่าเด็กเป็นสองซีก ตรัสให้หญิงทั้งสองนำไป คนละครึ่ง
ปฏิกิริยาตอบสนองของหญิงทั้งสองจะเป็นสิ่งที่ยืนยันความจริงออกมา หญิงคนหนึ่งเห็นชอบกับคำตัดสิน แต่อีกคนหนึ่งร้องขอให้เด็กนั้นมีชีวิตต่อไป แม้คู่แข่งของเธอจะได้เด็กนั้นไปครอบครองก็ตาม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนไหนคือแม่ที่แท้จริง
กษัตริย์องค์นั้นก็คือ กษัตริย์โซโลมอนนั่นเอง
ดังเรื่องที่เล่าไว้ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ เล่มที่ 1 บทที่ 3 ข้อ 16-28 และนี่ก็เป็นที่มาของความเลื่องชื่อทางด้านสติปัญญาของพระองค์
ส่วนเรื่องของหญิงที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณีถูกนำมาอยู่ต่อหน้าพระเยซูเจ้า โดยบรรดา ธรรมาจารย์และชาวฟาริสี เพื่อให้พระองค์ทรงตัดสินว่าจะทุ่มหินเธอตามบทบัญญัติของโมเสสหรือไม่
ก็เป็นเรื่องที่ทำให้พระเยซูเจ้ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปในศตวรรษแรกๆ เช่นเดียวกัน
ที่จริงน่าจะเติมเรื่องให้ยาวและเข้าใจได้ถูกต้องมากขึ้นว่า หญิงคนหนึ่งที่ถูกจับในขณะล่วงประเวณี ถูกนำมาอยู่ต่อหน้าพระเยซูเจ้า พร้อมกับพวกผู้ชาย(ที่ฉุดกระชากลากถูเธอมา) ซึ่งเป็นพวกมือถือสากปากถือศีลด้วย
คำตัดสินของพระเยซูเจ้าเป็นการแสดงออกถึงพระปรีชาญาณของพระองค์ ซึ่งเปรียบเหมือน ที่ประชาชนคาดหวังว่ากษัตริย์ของเขาจะมีความปรีชาฉลาดเช่นนี้
[โปรดอย่าลืมว่าตลอดพระวรสารที่นักบุญยอห์นเขียนได้เน้นตอบปัญหาที่ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเมสสิยาห์ (กษัตริย์ที่แท้จริง) หรือไม่]
เรื่องที่เล่าก็เป็นที่พวกเขาจ้องจับผิดพระเยซูเจ้า
เขาหมายจะให้พระองค์บอกกับหญิงนั้นว่าบาปของเจ้าถูกยกให้แล้ว ซึ่งก็หมายความว่าพระองค์ทรงสอนให้ประชาชนละเลยกฎหมายของโมเสส
ในขณะที่อุณหภูมิของสถานการณ์เพิ่มสูงขึ้น
รวมทั้งความโกรธของพระเยซูเจ้าที่เห็นพวกเขา นำหญิงคนหนึ่งมาเป็นเครื่องมือในการโจมตีต่อพระองค์ รวมทั้งการทำเช่นนี้พวกเขามีความสุขที่เห็นว่าพวกเขามีมาตรฐานทางด้านศีลธรรมที่สูงกว่าหญิงคนนี้มากมายนัก
และผลพลอยได้คือการต้อนพระองค์ให้จนมุมจนยากจะฉากหนีออกมาได้
ไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูเจ้าทรงก้มหน้าลงและได้ขีดเขียนอะไร
ในสมัยโบราณที่ยังไม่มีกระดานที่ใช้ชอล์กเขียน หรือเครื่องมือที่ทันสมัยในปัจจุบัน อาจารย์มักจะเขียนลงบนพื้นดิน เราอาจจะเดาว่าพระองค์ทรงเขียนรายชื่อบาปอื่นๆ รวมทั้งบาปหน้าไหว้หลังหลอก หรือบาปมือถือสากปากถือศีลด้วย
แต่คำตอบของพระองค์ที่ว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป
จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แม้จะเสี่ยงถ้ามีคนบ้าหรือคนที่หยิ่งผยองในตัวสักคนทุ่มหินนาง ก็จะเกิดความเสียหายมาก
แต่ไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น พระองค์ไม่ได้ตรัสว่ากฎของโมเสสนั้นผิด เพียงแต่ว่า ถ้าเราจะเข้มกับเรื่องนี้จริงจัง ก็จะพบว่าเราเองก็มีความผิดด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงเดินจากไปทีละคน... ทีละคน... จนหมด
“เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
ไม่ใช่บาปที่เราทำไปไม่ผิด ที่จริงแล้วผิด
แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร และจะทรงอภัยโทษให้เรา เมื่อเราสำนึกตัวกลับใจเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
|