|
การฉลองถวายพระกุมารในพระวิหารในวันที่ 2 กุมภาพันธ์
หลังจากวันคริสตสมภพ 40 วัน มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญลูกา (ลก 2:22-39) ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์นี้
ตามธรรมบัญญัติของโมเสสซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือเลวีนิติ (ลนต 12:1-8) กล่าวถึงพิธีชำระหญิงหลังคลอดบุตรว่า พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชาวอิสราเอลว่า ถ้าหญิงใดตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย นา
งจะมีมลทินเป็นเวลาเจ็ดวัน มีมลทินเหมือนระหว่างที่มีประจำเดือน ในวันที่แปดจะต้องให้ เด็กนั้นเข้าสุหนัต นางจะต้องรอต่อไปอีกสามสิบสามวันก่อนที่จะพ้นมลทินจากการสูญ
เสียโลหิต นางจะต้องไม่สัมผัสสิ่งใดที่ศักดิ์สิทธิ์ และไม่เข้าไปในสักการสถานจนกว่าจะ ถึงเวลากำหนดพ้นมลทิน
ถ้านางคลอดบุตรหญิง นางจะมีมลทินเป็นเวลาสองสัปดาห์ มีมลทินเหมือนระหว่างที่มีประจำเดือน นางจะต้องรออีกหกสิบหกวันก่อนที่จะพ้นมลทินจากการสูญเสียโลหิต
เมื่อครบกำหนดพ้นมลทินแล้ว ไม่ว่าทารกนั้นจะเป็นชายหรือหญิง นางจะต้องนำ
ลูกแกะอายุหนึ่งปีมามอบให้แก่สมณะที่ทางเข้ากระโจมนัดพบ เพื่อถวายเป็นเครื่องเผาบูชาพร้อมกับนกพิราบหนุ่มหรือนกเขาตัว
หนึ่งเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาขออภัยบาป สมณะจะต้องนำเครื่องบูชาเหล่านี้มาถวายแด่พระยาห์เวห์ เพื่อขออภัยบาป และนางจะพ้นมลทินจากการสูญเสียโลหิต
นี่คือข้อกำหนดเกี่ยวกับหญิงที่คลอดบุตรชายหรือบุตรหญิง ถ้านางไม่สามารถจัดหาลูกแกะได้ นางจะต้องนำนกเขาหรือ
นกพิราบหนุ่มสองตัวมาถวาย ตัวหนึ่งสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา และอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเพื่อขออภัยบาป สมณะจะทำพิธีขออภัยบาปสำหรับนาง และนางจะพ้นมลทิน
บุตรหัวปีถือว่าเป็นของพระเจ้า จงถวายบุตรคนแรกที่เป็นชายทุกคนให้เป็นของเรา เพราะในอิสราเอลบุตรที่คลอดเป็นคน แรก ไม่ว่าคนหรือสัตว์เป็นของเรา (อพย 13:2) ท่านต้องถวายบุตรชายทุกคนที่คลอดเป็นคนแรกแด่พระยาห์เวห์ และสัตว์ตัว
แรกทุกตัวที่เกิดจากสัตว์ของท่าน ถ้าเป็นตัวผู้จะเป็นของพระยาห์เวห์ (อพย 13:12) และ ให้ไถ่เด็กคืนไปเมื่ออายุหนึ่งเดือนตามราคาที่กำหนดไว้ คือเงินหนักห้าบาท ตามบาทมาตรฐานที่เก็บไว้ในสักการสถาน คือยี่สิบเกราห์เท่ากับหนึ่งบาท (กดว 18:16) นักบุญโยเซฟและพระนางมารีย์ปฏิบัติตามกฎนี้จึงนำพระกุมารเยซูไปถวายแด่พระเจ้าที่พระวิหาร
เอเจเรียผู้แสวงบุญ (ประมาณปี ค.ศ. 386) ได้เล่าว่า ที่กรุงเยรูซาเล็มมีงานฉลองใหญ่ในวันที่ 40 หลังจากวันสมโภชพ ระ คริสต์แสดงองค์ (ที่นั่นถือเป็นการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพัน
ธ์ มีขบวนแห่ไปที่วัดแห่งการกลับคืนชีพ ที่ซึ่งพระสงฆ์และพระสังฆราชเทศน์และอธิบายเหตุการณ์ ถวายพระเยซูเจ้าในพระวิหาร (ลก 2:22-39) และปิดท้ายการฉลองด้วยมิสซา เอเจเรียไม่ได้บอก
ว่างานฉลองนี้มีชื่อว่าอะไร แต่ประมาณกลางศตวรรษที่5 เราพบการฉลองนี้มีชื่อว่า วันฉลองการพบปะ (ภาษากรีก คือ Hypapante) และมีขบวนแห่พร้อมกับเทียนที่จุดอยู่ในมือด้วย ชื่อของว
ันฉลองเตือนให้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงเข้าไปในพระวิหารของพระบิดาเป็นครั้งแรก และที่นั่นพระองค์ทรงพบปะกับสิเมโอนและนางอันนา
ประมาณปลายศตวรรษที่ 7 พระสันตะปาปาแซร์จิอุสที่ 1 ได้จัดให้มีการฉลองนี้ที่กรุงโรม จากประจักษ์พยานในสมัยต่อมาบันทึกไว้ว่า ขบวนแห่เทียนนั้นถูกนำไปเชื่อมโยงกับ 40 วัน หลังการ
ฉลองพระคริสตสมภพ โดยมีความตั้งใจที่จะให้วันฉลองนี้แทนที่ขบวนแห่แห่งการชดเชยความผิดของคนต่างศาสนา ที่ฉลองทุก 5 ปีตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีขบวนแห่รอบๆ กรุงโรม แต่เดิม
ในมิสซานี้พระสงฆ์ใส่กาสุลาสีม่วง เป็นการย้ำถึงลักษณะแรกเริ่มของวันฉลองนี้ที่กรุงโรม คือ ลักษณะของการใช้โทษบาป เทียนที่ถือในขบวนแห่เตือนให้ระลึกถึงคำที่สิเมโอนเรียกพระเยซูเจ้าว่า แสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ (ลก
2:32) มีการเพิ่มการเสกเทียนเข้าไปในการฉลองนี้ครั้งแรกที่โกลในศตวรรษที่ 10 และมีหลักฐานเรื่องการเสกเทียนที่กรุงโรมในศตวรรษที่ 12
การเสกเทียนและการถือเทียนในขบวนแห่ทำให้มีคนเรียกวันฉลองนี้ว่า วันเสกเทียน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเนื้อหาสำคัญของการฉลองนี้เพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกับชื่อ ฉลองแม่พระรับศีลช ำระ อันเป็นชื่อทางการของวันฉลองนี้จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1969 ซึ่งอาจ จะทำให้เกิดการเข้าใจผิด เพราะตามคำสอนของพระศาสนจักร พระนางมารีย์ไม่มีบาปใ
ดๆ เลย ในปฏิทินคาทอลิก ค.ศ. 1969 ได้เปลี่ยนชื่อวันฉลองนี้เป็น ฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร ซึ่งทำให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงอย่างชัดเจนว่าวันฉลองนี้เป็นวัน ฉลองของพระเยซู
ในหนังสือมิสซาเล่มปัจจุบัน การเสกเทียนมีให้เลือก 2 แบบ แบบแรก สัตบุรุษ
ชุมนุมกันที่วัดน้อยหรือสถานที่เหมาะสมนอกวัด สัตบุรุษถือเทียนที่ยังไม่จุด เมื่อพระสงฆ์สวมอาภรณ์สีขาวสำหรับถวายพิธีมิสซาเดินมาที่นั่นพร้อมด้วยผู้ช่วยพิธี มีการจุดเทียน และขับร้องบทเพลง พระเจ้าของเราจะเสด็จมาพร้อมด้วยพระเดชานุภาพ และจะทรงบันดาล ให้นัยน์ตาของผู้รับใช้พระองค์เห็นแสงสว่าง อัลเลลูยา (หรือร้องเพลงอื่นที่เหมาะ
สม) พระสงฆ์กล่าวทักทายสัตบุรุษที่มาชุมนุมกัน และอธิบายถึงความหมายของการฉลอง หลังจากนั้นพระสงฆ์เสกเทียน โดยใช้บทใดบทหนึ่งจากบทภาวนา 2 บท บทแรกกล่าวถึงการเผยแสดงของพระคริสตเจ้าในฐานะ แหล่งที่เกิดและต้นกำเนิดของความสว่าง ที่แสดงให้ท่านสิเมโอนได้เห็น ขอโปรดฟังประชากรของพระองค์ภาวนา เขาถือเทียนนั้นเดินผ่านหนทางแห่งความประพ
ฤติดีงาม พากันมาสรรเสริญพระนามของพระองค์ ขอโปรดให้เขาเหมาะสมจะบรรลุถึงความสว่าง ที่ลุกโชติช่วงตลอดไปในสวรรค์ด้วยเถิด หลังจากพรมน้ำเสกที่เทียนแล้ว ขบวนแห่เดินเข้าไปในวัด พร้อมทั้งขับร้องบทเพลงของสิเมโอนหรือเพลงอื่นที่เหมา
ะสม
แบบที่สองแตกต่างจากแบบที่หนึ่งเพียงแทนที่จะมีขบวนแห่ ก็มีเพียงการแห่เข้าอย่างสง่าโดยพระสงฆ์และตัวแท นสัตบุรุษ กลุ่มหนึ่ง โดยเริ่มพิธีที่สถานที่ที่เหมาะสม (อาจจะเป็นหน้าประตูวัดหรือในวัด) ที่ผู้ร่วมพิธีสามารถ มารวมตัวกันได้ง่าย มีบทนำและบทเสกเทียน การแห่เข้าอย่างสง่า และขบวนแห่ไปยังพระแท่น
ในรูปแบบที่เรียบง่ายพร้อมทั้งคริสตชนที่ถือเทียนที่จุดอยู่ในมือ
พระวรสารกล่าวถึงการถวายพระกุมารที่พระวิหาร (ลก 2:22-32) และยังมีการสรุปเหตุการณ์นี้ในบทนำขอบพระคุณที่กล่าวว่า การที่พระบุตรผู้สถิตนิรันดรพร้อมกับพระองค์ ถวายองค์ในพระวิหารวันนี้นั้น พระจิตเจ้าทรงประกาศว่า เป็นเกียรติมงคลแห่งอิสราเอล และเป็นความสว่างส่องนา
นาชาติ ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความชื่นชมยินดี ร่วมกันมารับเสด็จองค์ความรอด พิธีกรรมทำใ
ห้เห็นถึงการปรากฏพระองค์ของพระคริสตเจ้าในพระวิหาร ซึ่งทำให้คำทำนายของประกาศกมาลาคีในบทอ่านที่หนึ่งเป็นจริง (มลค 3:1-4) องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหารของพระองค์ ซึ่งเป็นหัวข้อของบทสดุดีตอบรับพระวาจาด้วย (สดด 24:7-10)
บทอ่านจากพันธสัญญาใหม่ (ฮบ 2:14-18) มองการรับเอากายของพระเยซูเจ้าในฐานะเป็นสิ่งล่วงหน้าของกิจกรรมไถ่บาปมนุษย์ของพระองค์ จึงจำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงเป็นเหมือนกับบรรดาพี่น้องทุกประการ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นมหาสมณะที่
เพียบพร้อมด้วยพระกรุณาและทรงซื่อสัตย์ในการติดต่อกับพระเจ้า ไถ่โทษชดเชยบาปของประชากรได้ (ถ้าฉลองในวันธรรมดา
ให้เลือกบทอ่านเพียง 1 บท แต่ถ้าฉลองในวันอาทิตย์ให้อ่านบทอ่านทั้งสองบท)

บทภาวนาหลังรับศีลเป็นการวอนขอให้เราได้รับพละกำลังในความหวังของเรา และได้รับความสมบูรณ์จากการช่วยให้รอด ขอศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับนี้...โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลา
ย ที่ออกไปรับเสด็จพระองค์ท่านได้รับชีวิตนิรันดรด้วยเถิด
สรุป
1. เหมือนกับเหตุการณ์ที่สิเมโอนพบพระเยซูเจ้า เราคริสตชนพบกับพระองค์เสมอ เป็นต้น ในพิธีมิสซา
2. พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เรารับความสว่างมาจากพระองค์ ตั้งแต่เวลาที่เรารับศีลล้างบาป ดังนั้น คริสตชนจึงต้องเป็นแสงสว่างแห่งชีวิตที่ดีงามตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้าต่อหน้าเพ
ื่อนมนุษย์ 3. พระนางมารีย์และนักบุญโยเซฟได้น้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้าโดยการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เช่นเดียวกัน เรา คริสตชนต้องน้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา
|