ชนชาวฮีบรูใช้คำว่า สวรรค์ ในความหมายถึง ที่สูง หรือ ส่วนที่อยู่เหนือพิภพ
สำหรับพระคัมภีร์ คำว่า สวรรค์ ก่อนอื่นหมด จะหมายถึง ท้องฟ้าสีคราม หรือ กลุ่มเมฆที่ลอยผ่านไปในท้องฟ้า และในหนังสือปฐมกาล 1: 20 ได้พูดถึงพ วกนก (ที่บินอยู่) ใต้ท้องฟ้าสวรรค์
และในหน้าอื่นๆของพระคัมภีร์ ก็หมายถึงขอบเขตแห่งดวงดาวที่ส่องสว่างอยู่ในท้องฟ้า นอกจากนั้น สวรรค์ ยังหมายถึง ที่ประทับของพระเจ้า อีกด้วย แม้ว่าพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ทั่วๆไป พระเจ้าทรงแสดง
พระองค์ในลักษณะพิเศษในแสงสว่างและในความยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้า และ สวรรค์ ก็ยังเป็นที่อยู่อาศ
ัยของบรรดาทูตสวรรค์ เพราะท่านเหล่านั้นจะคอยเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอและคอยพิศเพ่งพระพักตร์ของพระองค์ เช่นเดียวกันบรรดาดวงวิญญาณของผู้ชอบธรรมก็อยู่กับพระเจ้าในเมืองสวรรค์ นักบุญเปาโลบอกว่าพระคริสตเจ้าได้ทรงนำบรรดาพระอัยกาในพระธรรมเก่าในใต้บาดาลเข้าสู่เมืองสวรรค์ (อฟ 4: 8) ดังนั้น คำว่า สวรรค์ จึงให้ความหมายทั้ง ความสุข และ สถานที่ของบรรดาผู้ชอบธรรมในชีวิตหน้าด้วย
ในพระคัมภีร์มีหลายชื่อเรียกด้วยกันที่หมายถึง สวรรค์ เช่น
* อาณาจักรแห่งเมืองสวรรค์ (มธ 5: 3) * อาณาจักรแห่งพระเจ้า (มก 9: 46) * อาณาจักรแห่งพระบิดาเจ้า (มธ 13: 43)
* อาณาจักรของพระคริสต์ (ลก 22: 30) * บ้านของพระบิดาเจ้า (ยน 14: 2) * นครของพระเจ้า เยรูซาเล็มชั้นฟ้า (ฮบ 12)
* สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (ฮบ 9: 12) * สรวงสวรรค์ (paradise) (2 คร 12: 4) * ชีวิต (มธ 7: 14)
* ชีวิตนิรันดร (มธ 19: 16) * ความยินดีของเจ้านาย (มธ 25:21) * มงกุฎแห่งชีวิต (ยก 1: 12)
* มงกุฎแห่งความชอบธรรม (2 ทธ 4: 8) * มงกุฎแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ (1 ปต 5: 4) * มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรย (1 คร 9: 25)
* รางวัลอันยิ่งใหญ่ (มธ 5: 12) * มรดกแห่งพระคริสต์ (อฟ 1: 18) * มรดกนิรันดร (ฮบ 9: 15)
สถานที่ตั้งของ สวรรค์
สวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าและของบรรดาผู้ชอบธรรม อยู่ที่ไหน?
บางคนก็ว่า สวรรค์ อยู่ทั่วๆไป เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง และ ตามความคิดของคน
พวกนี้ บรรดาผู้ที่อยู่ใน สวรรค์ สามารถเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ในสากลจักรวาลอย่างเป็นอิสระเสรี
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วๆไปบรรดานักเทววิทยามีความคิดเห็นว่าน่าจะมีสถานพำนักแห่ งหนึ่งเป็นพิเศษและเ
ปี่ยมไปด้วยความรุ่งโรจน์ อันเป็นที่พำนักของบรรดานักบุญ แต่ถึงกระนั้น ท่านเหล่านั้นก็มีอิสระเสรีที่จะไปไหนมาไหนก็ได้บนโลกเรานี้ และ ณ เวลาสิ้นโลก แผ่นดิ นโลกพร้อมๆกับบรรดาเทห์วัตถุทั้งหลายบนท้องฟ้าสวรรค์ ก็
จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของสถานพำนักของบรรดานักบุญ เชื่อกันว่าสวรรค์มิได้อยู่บนโลกใบนี้ แต่ว่า สวรรค์ นั้นอยู่ที่ไหนนั้น ยังไม่มีใครสามารถยืนยันให้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วๆไปได้ และพระศาสนจักรเอง ก็มิได้ตัดสินอย่างใดอ ย่างหนึ่งในเรื่องนี้
สวรรค์ มีอยู่จริงหรือ?
สวรรค์ มีอยู่จริง และใน สวรรค์ นี้ พระเจ้าจะทรงประทานความสุขและพระพรต่างๆที่ดีและสมบูรณ์ที่สุดให้กับบรรดาผู้ได้ออกจากชีว
ิตบนโลกนี้แล้ว โดยไม่มีบาปกำเนิดและบาปหนักส่วนตัว และอยู่ในสถานะแห่งความชอบธรรมและมิตรภาพที่ดีกับพระเจ้า สำหรับผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าและไม่ยอมเชื่อในความไม่รู้ต ายหรือความเป็นนิรันดร์ของวิญญาณของเรามนุษย์ ก็ย่อมจะปฏิเสธเรื่องของ สวรรค์ ด้วย แต่ว่าด้วยก
ารใช้เหตุผลตามประสามนุษย์แล้ว ก็ไม่น่าที่จะเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่า สวรรค์ นั้น มีอยู่จริง แต่จะมีรูปแบบเป็นอย่างใดและอยู่ที่ไหน นั้
น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนสำหรับวิญญาณของบรรดาผู้ชอบธรรมซึ่งจากโลกนี้ไป แต่ยังมีบาปเ บาติดตัวอยู่หรือยัง
ต้องใช้โทษบาปอยู่ ก็จำเป็นจะต้องผ่าน ไฟชำระ เพื่อทำการชำระล้างวิญญาณของตนให้สะอาดบร
ิสุทธิ์เสียก่อน ก่อนที่จะเข้าไปเสวยความ บรมสุขนิรันดรในเมืองสวรรค์ เช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ได้ตายไปโดยไม่มีบาปแต่ยังมีบาปกำเนิดติดอยู่ ก็จะต้องไปผ่าน ใต้บาดาล เสียก่อน ดังเช่นบรรดาผู้ชอบธรรมในพระธรรมเก่า
สำหรับเหตุผลหรือข้อพิสูจน์ว่า สวรรค์ มีอยู่จริงและความบรมสุขแห่งเมืองสวรรค์นั้นเป็นนิรันดร์ และอยู่ที่การได้ครอบครองพระเจ้าและที่สามารถตอบสนองความปรารถนาต้องการต่างๆของหัวใจมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ คือ
- พระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งเพื่อพระเกียรติมงคลของพระองค์ บรรดาสิ่งสร้างทั้งหลายของพระองค์จึงต้องเผ ยแสดงความบริบูรณ์ข
องพระเจ้าด้วยการทำตัวให้ละม้ายคล้ายกับพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามความสามารถของตัวเอง และสิ่งสร้างที่จะสามารถทำเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ก็คือ มนุษย์ นั่นเอง เพราะเมื่อเขา รู้จัก และ รัก ความบริบูรณ์อันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์ด้วยความรู้และความรักอย่า
งเดียวกันกับของพระเจ้า ซึ่งเป็นนิรันดร์อยู่แล้ว ดังนั้น วิญญาณ ของมนุษย์ซึ่งเป็นตัวจักรที่ทำให้ รู้จัก และ รัก พระเจ้านี้ ก็จะเป็นนิรันดร์ด้วยและจำเป็นที่จะต้องได้รับการตอบ สนองที่เป็นนิรันดร์อีกด้วย ดังนั้น มนุษย์จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสุขนิรันดร์ซึ่งจะสามารถบรรลุถ
ึงได้ ก็เฉพาะหลังควา มตายแล้วเท่านั้น และจะมีเฉพาะก็แต่บาปเท่านั้นที่จะเป็นอุปสรรคมิให้เขาบรรลุถึงเมืองสวรรค์ได้
- มนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดเพื่อความสุขขั้นสมบู รณ์ แต่ว่าความสุข
ที่เรามนุษย์มีบนโลกใบนี้ มิได้เป็นความสุขที่สมบูรณ์แบบและยั่งยืนเลย จึงน่าจะมีสถานที่แห่งหนึ่งและ ณ เวลาหนึ่งที่มนุษย์จะสามารถบรรลุถึงความสุขขั้นสมบูรณ์นั้น นั่นก็คือ สวรรค์ ที่พวกเขาจะบรรลุถึงหลัง ความตาย นั่นเอง
- การเผยแสดงของพระเจ้าหรือจากพระคัมภีร์ ก็ได้ยืนยันว่า สวรรค์ มีอยู่จริง ด้วยการเรียกชื่อ สวรรค์ ด้วยชื่อต่างๆตามที่ได้สาธยายไว้แล้ว
ลักษณะเหนือธรรมชาติของ สวรรค์ และการเห็นพระเจ้าที่เป็นความบรมสุข
* บนสวรรค์ ผู้ชอบธรรมจะแลเห็นพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้าอย่างชัดเจนและอย่างแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร บนโลกใบนี้ เราไม่สามาร
ถแลเห็นพระเจ้าได้อย่างที่พระองค์ทรงเป็น แต่เราสามารถแลเห็นพระองค์โดยอาศัยสิ่งสร้างต่า งๆซึ่งเปรียบเสมือนเป็นกระจกเงาที่สะท้อนถึงพระองค์ และจากนั้นก็โดยอาศัยการใช้เหตุผลซึ่งจะทำให้เราสามารถรู้จักพระองค์ได้ เหมือนกับที่นักบุญเปาโลบอกเราว่า ในเวลานี้ เราเห็น
พระเจ้าเพียงรางๆเหมือนเห็นในกระจกเงา แต่เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นพระองค์เหมือนพระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจ ะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า (1 คร 13: 12)
* เป็นความเชื่อที่บอกเราว่าการเห็นพระเจ้าที่เป็นความบรมสุข เป็นอะไรที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งอยู่โพ้นอำนาจและการควบคุมของสิ่งสร้าง รวมทั้งของทูตสวรรค์และมนุษย์ด้วย มนุษย์เราสามารถรู้จักพระเจ้าได้ ก็โดยอาศัยตัวช่วยจากธ รรมชาต
ิหรือสิ่งสร้างต่างๆ เราสร้างจินตภาพของพระเจ้าจากความละม้ายคล้ายของสิ่งสร้างต่างๆในระดับหนึ่งเท่านั้น นี่เ ป็นวิธีการแต่เพียงประการเดียวซึ่งธรรมชาติสามารถหยิบยื่นให้กับมนุษย์เพื่อที่จะได้มาซึ่งความร
ู้เกี่ยวกับพระเจ้า นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าการที่เราจะรู้จักและเห็นพระเจ้าแบบหน้ าต่อหน้าในสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบันของเรามนุษย์บนโลกใบนี้นั้น เป็นอะไรที่อยู่นอกเหนืออำนาจและการควบคุมของมนุษย์ อย่างไรก็ตามนักบุญโทมัส อะไควนัส สอนว่ ามนุษย์เรามีความปรารถนาอย่างธรรมชาติถึงการเห็นพระเจ้าท
ี่เป็นความบรมสุข อันสอดคล้องกับการเผยแสดงของพระเจ้าที่บอกว่ามนุษย์สามารถเห็นพระเจ้าที่เป็นความบรมสุข และสามารถชื่นชมกับมันได้ มิใช่บนโลกใบนี้ แต่ว่าเป็นในโลกนหน้า
* การเห็นพระเจ้าที่เป็นความบรมสุข เป็นธรรมล้ำลึกอย่างหนึ่ง แน่นอนการใช้เ หตุผลของเรามนุษย์ ไม่สามารถที่จะทำการพิสูจน์ถึงคว
ามเป็นไปได้ของภาพที่เห็นที่เป็นความบรมสุข ซึ่งอยู่เหนือสติปัญญาและน้ำใจของมนุษย์
สวรรค์เป็นนิรันดรและบรรดานักบุญทำบาปไม่ได้
เป็นข้อความเชื่อประการหนึ่งที่ว่าความบรมสุขของบรรดานักบุญจะไม่มีวันจบสิ้นได้ พวกท่านจะมั่นคงในความดี พวกท่านจะไม่สามารถ
ทำบาปได้อีก แม้ว่าจะเป็นบาปที่เบาที่สุดก็ตาม หัวใจของพวกท่านจะได้รับแรงบันดาลใจจากความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดของพระเจ้า นี่เป็นคำส
ั่งสอนของศาสนาคริสต์คาทอลิก บรรดานักบุญจะไม่อยู่ภายใต้อำนาจที่จะเลือ กทำชั่ว เพราะพวกท่านจะรักพระเจ้าแต่อย่างเดียว เหตุผลอี
กประการหนึ่งที่บอกว่าบรรดานักบุญทำบาปไม่ได้นั้น อยู่ที่พวกท่านเป็นอิสระจากบาป นั่นก็คือพวกท่านอยู่ในสถานะของพระหรรษทานในขณะท
ี่ท่านกำลังจะตายอันจะเป็นการผ่านเข้ าสู่สถานะสุดท้ายนั่นเอง ซึ่งท่าทีของจิตใจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อีก ด้วยเหตุผลดังนี้ บรรดาดวงวิญญาณในไฟชำระ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้แลเห็นพระเจ้า พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำบาปได้เช่นกัน
ความบรมสุขที่เป็นสาระสำคัญ
เราสามารถแยกแยะระหว่างความบรมสุขที่เป็นวัตถุวิสัย (objective) และความบรมสุขที่เป็นอัตตาวิสัย (subjective) ความบรมสุขที่เป็นวัตถุวิสัยคือเป็นความดีอันนั้นเองซึ่งทำให้เรามีความสุขเมื่อเราได้ครอบครอง ส่วนความบรมสุขที่เป็นอัตตาวิสัยคือการที่ได้ครอบครองความดีอันนั้น สาระสำคัญของความบรมสุ ขที่เป็นวัตถุวิสัย ก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง สำหรับการที่ได้ครอบครองพระเจ้านั้น ทำให้เรามั่นใจถึงกา
รได้ครอบครองความดีอย่างอื่นๆทั้งหลายที่เราปรารถนาด้ วย ส่วนสาระสำคัญของความบรมสุขที่เป็นอัตตาวิสัยคือการได้ครอบครององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งอยู่ที่การเห็นพระเจ้า ความรักและความปีติยินดี บรรดานักบุญรัก พระเจ้าด้วยความรักสองอย่างด้วยกันคือความรักอันแรกอยู่ที่พ
วกท่านรักพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักเอง ส่วนความรักอันที่สองอยู่ที่พวกท่านรักพระเจ้าในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นท่อธารแห่งความบรมสุขของพวกท่าน ความรักทั้งส องอย่างนี้ช่วยให้เกิดคว
ามปีติยินดีสองชั้นสองซ้อนด้วยกัน คือความปีติยินดีอันเกิดจากได้แลเห็นองค์พระเจ้าและจากการที่พระเจ้าทรงเป็นท่อธารแห่งความปีติยินดีของพวกท่านนั่นเอง
ความบรมสุขที่เป็นองค์ประกอบ นอกจากสาระสำคัญของความบรมสุขที่บรรดาดวงวิญญาณใ
นเมืองสวรรค์ได้รับแล้ว นั้น ก็ยังมีพระพรชั้นรองอื่นๆอีกมากมายที่พวกท่านได้รับด้วย เช่น
- ในสวรรค์ จะไม่มีความเจ็บปวดหรือความเศร้าโศกแม้แต่นิดเดียว และน้ำใจของบรร ดานักบุ
ญจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
- บรรดานักบุญมีความปีติยินดีอย่างยิ่ง ที่อยู่ร่วมสมาคมกับพระคริสต์ บรรดาทูตสวรร ค์และนักบุญ และกับอีกหลายๆท่านอันเป็นที่รักข
องพวกเขาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้
- หลังจากการกลับคืนชีพแล้ว การร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันของวิญญาณกับร่างกายที่ได้รั บเกียรติรุ่งโรจน์ก็จะเป็นท่อธารพิเศษแห่งความป
ีติยินดีสำหรับบรรดานักบุญ
- ความปีติยินดีอย่างพิเศษมากๆ พระเจ้าจะประทานให้กับบรรดามรณสักขี นักปราชญ์ของพระศาสนจักรและนักบุ ญพรหมจารีย์ เพราะท่
านเหล่านั้นได้รับการพิสูจน์ทดลองและได้รับชัยชนะแล้วในห้วงเวลาแห่งการถูกทดลอง
คุณสมบัติของความบรมสุข
มีหลายขีดขั้นของความบรมสุขในสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องขององค์ประกอบของค
วามบรมสุข อันสอดคล้องกับบุญกุศลในขีดขั้นต่างๆด้วย นี่เป็นข้อความเชื่อประการหนึ่งซึ่งได้รับการนิยามเอาไว้จากสภาสังคายนาแห่งเมืองฟลอเร็นซ์ (1439-1442) ทั้งได้รับการยืนยันจากพระเยซูเจ้าด้วยในเรื่องของผู้หว่านที่ผู้ฟังพระวาจาและเข้าใจ ก็จะเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และสา
มสิ บเท่าบ้าง (มธ 13: 23) ซึ่งก็อาจจะไปขัดแย้งกับเรื่องคนงานในสวนองุ่นที่พระเยซูเจ้าบอกว่าคนงานทุกคนจะได้รับค่าจ้างคนละ 1 เหรียญเท่าๆกัน (มธ 20: 1-16) ซึ่งน่าจะหมายถึงว่าจะไม่มีความแ
ตกต่างหรือการเลือกปฏิบัติระหว่างชนชาวยิวและชนชาติอื่นๆที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรพระเจ้า นั่นก็คือมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ด้วยกันทั้งนั้น
การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า จะเป็นการนำเราทั้งหลายเข้าสู่สวรรค์ด้วย
|