วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Saturday/Sabbatum Sanctum) เป็นวันที่ พระเยซูเจ้าทรงถูกฝังไว้ในคูหาและเป็นวันแห่ง การพักผ่อนของพระคริสตเจ้าเพราะในวันนั้นพระศพของพระองค์ทรงถูกวางไว้ในคูหา และในวันนี้เราคงคิดถึงคำภาวนาในบท สัญลักษณ์ของอัครสาวก/ข้าพเจ้าเชื่อที่ภาวนาว่า พระเยซูเจ้าเสด็จสู่แดนมรณะ วันนี้เป็นวันที่โลกทั้งสองโลก คือโลกแห่งความมืด โลกแห่งบาปและโลกแห่งความตาย
กับโลกแห่งการกลับคืนชีพและโลกแห่งการปฏิสังขรณ์ไปสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง ต่างก็หยุดทำกิจกรรมของตนเอง ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้
จึงในวันนี้พระศาสนจักรไม่ให้มีพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ใดๆทั้งสิ้นจนถึงพิธีตื่นเฝ้าในค่ำคืนวันปัสกาคือค่ำคืนวันนี้ วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งอยู่ระหว่างวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์และวันอาทิตย์ปัสกา
ได้บอกเราถึงการสิ้นสุดของโลกๆหนึ่งและการเกิดใหม่ของอีกโลกหนึ่งอันได้รับการสถาปนาขึ้นด้วยการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า
วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์น่าจะเป็นวันที่เงียบที่สุดของปีเลยทีเดียว
แต่เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ก็จะเป็นช่วงเวลาของความชื่นชมยินดีและการรอคอยครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญสุดอันเนื่องมาจากความงดงามของพิธีกรรมของการตื่นเฝ้าปัสกาซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น มารดาของการตื่นเฝ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หรือเป็น พิธีกรรมอันยิ่งใหญ่แห่งความสว่าง
เหมือนกับเมล็ดพืชในดินที่รอจังหวะเวลาโผล่ขึ้นมาจากดินเป็นต้นอ่อน พระเยซูเจ้าที่พักผ่อนอยู่ในคูหาก็รอเวลาที่จะกลับคืนพระชนมชีพ
พระศาสนจักรกำลังตื่นเฝ้าอยู่รอบๆ
พระคูหาของพระคริสตเจ้าพลางมีส่วนร่วมในธรรมล้ำลึกเดียวกันของพระองค์ อันที่จริงพระศาสนจักรเองก็รอการกลับคืนชีพในวันสุด ท้ายเช่นกัน ซึ่งเป็นวันยิ่งใหญ่ของพระคริสตเจ้า
ตามธรรมประเพณีที่ได้รับสืบทอดกันมา วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นวันที่จะถวายพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการตระเตรียมการสมโภชคืนวันปัสกา แต่ว่าจะมีวจนพิธีกรรมอ่านพระ วาจาและสวดชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์แทน เนื้อหาอันเป็นสาระสำคัญของบทอ่านดังกล่าวก็คือ ความหวัง ในการกลับคืนชีพ และการที่พระแมสซียาห์เสด็จเข้าสู่พลับพลาแห่งฟ้าสวรร
ค์ในฐานะผู้มีชัยเหนือความตาย
การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้านี้ ได้มีการพูดถึงเป็นนัยๆอยู่แล้วในบทเพลงสดุดีและใน
คำทำนายของบรรดาประกาศกในพระธรรมเก่า การคืนชีพนี้อยู่เหนือทัศนะทั้งหลายของการมีชีวิตอยู่ต่อไป และอยู่เหนือการยึดชีวิตบนแผ่นดินนี้ให้ยาวนานต่อไปอีก เพราะการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเป็นการเฉลิมฉลองการมีชีวิตความเป็นอยู่ในรูปแบบใหม่ ซึ่งพระธรร
มใหม่ได้ชี้แสดงให้เห็นในหลายๆ ทัศนะที่แตกต่างกันออกไป
พระคริสตเจ้า มนุษย์แท้จริง ได้พิสูจน์พระองค์เองจนถึงขั้นที่ยอมสิ้นพระชนม์เพื่อจะได้
มีชัยชนะเหนือความตายและบาป เพื่อให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้มีส่วนร่วมในชัยชนะดังกล่าวด้วย
บรรดาผู้ชอบธรรมของพระธรรมเก่าและมนุษย์ทุกคน ที่ได้แสวงหาพระเจ้าด้วยจิตใจที่ซื่
อตรง กำลังได้เพบความสมบูรณ์ของชีวิตและสิ่งที่พวกเขาได้ตั้ง ความหวังไว้ในองค์พระคริสตเจ้า อาดัมคนใหม่
พระคริสตเจ้า มนุษย์ผู้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้แลเห็นความเน่าเปื่อยผุพัง แต่ว่าได้รับการชุบให้มีชีวิตจากพระจิตขอ
งพระเจ้า พระองค์ได้เสด็จสู่สวรรค์พลางประกาศพระเกียรติมงคลของพระผู้เป็นเจ้า และได้เผยแสดงพระองค์เองว่าเป็น เจ้านายของสรรพสิ่ง ทั้งในสวรรค์ บนแผ่นดิน และใต้ พิภพ
โดยนัยนี้สำหรับคริสตชน ความตายมิใช่จุดจบของชีวิต แต่ว่าเป็นชัยชนะเหนือขอบเขตจำกัดของเงื่อนไขต่างๆ บนแผ่นดินนี้ของมนุษย์และเป็นการมีส่วนร่วมในชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า
และศีลล้างบาปเป็นสัญญลักษณ์ที่เราคริสตชนจะต้องตรึงตัวเราเองพร้อมๆกับพระคริสตเจ้า เพื่อจะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นไท และไ
ด้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
คืนศักดิ์สิทธิ์-คืนวันปัสกา
เป็นธรรมประเพณีที่ได้รับสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณ ที่คืนนี้เป็นคืนแห่งการตื่นเฝ้าเป็นเกียรติแด่พระคริสต เจ้า (อพย 12: 42)
ตามคำแนะนำของพระวรสาร (ลก12: 35) บรรดาสัตบุรุษจะถือตะเกียงหรือเทียนจุดไว้ในมือ เหมือนกับ
คนใช้ที่กำลังคอยเจ้านายกลับมา เพราะเมื่อเจ้านายกลับมาก็จะพบพวกเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่และจะเชิญพวกเขาให้นั่งร่วมโต๊ะ รับอาหารพร้อมกับพระองค์
คืนวันปัสกาเป็นธรรมล้ำลึกอันยิ่งใหญ่ของชีวิตคริสตชน
ศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมในวันนี้ ช่วยเราให้มีจิตสำนึกว่า เราอ
ยู่ในเหตุการณ์ ของการช่วยให้รอดพ้นของพระผู้ไถ่จริงๆ
ค่ำคืนตื่นเฝ้าปัสกานี้ให้ความหมายว่าพระคริสตเจ้าผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตโดยอาศัยขั้นตอนต่า
งๆของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเริ่มจากในความมืด/บาป/ความตาย ไปสู่การได้รับการส่องสว่างด้วยไฟและเทียนอันหมายถึงพระคริสตเจ้า องค์ความสว่างของชาวเรา Lumen Christiเช่นเดียวกับที่พระศาสนจักรซึ่งเป็น
พระกายทิพย์ของพระคริสต์และชุมชนของผู้มีความเชื่อ ได้ถูกนำให้ออกจากความมืดทางจิตวิญญาณไปยังความสว่างแห่งความจริงของพระองค์ การรับพิธีล้างของพระคริสตเจ้าก็เป็นแบบอย่างของศีลล้างบาปที่เราคริสตช
นแต่ละคนได้รับ และน้ำแห่งศีลล้างบาปก็ได้รับการเสกในพิธีกรรมค่ำคืนนี้ด้วย พร้อมทั้งมีการจุ่มเทียนปัสกาลงไปในน้ำแห่งศีลล้างบาปซึ่งหมายถึงพระวรกายของพระคริสต์ที่จุ่มลงไปในธารน้ำนี้และบันดาลให้ธารน้ำนี้สา
มารถบันดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้ที่ได้รับการชำระล้างจากธารน้ำนี้ด้วย
ในระหว่างที่ประกอบพิธีกรรมซึ่งเชิญชวนให้เราได้รำลึกถึงการไว้ชีวิตชนชาวฮีบรู เพระที่บ้านของพวกเขาได้รับการประทับตราด้วยเลือด
ของลูกแกะ เราคริสตชนก็เช่นเดียวกันที่ได้รับการสาดด้วยน้ำเสกซึ่งจะทำให้เราสะอาดหมดจดจากบาปโดยอาศัยยัญบูชาของพระคริสต์ จากนั้
นเราก็จะทำการรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลล้างบาปโดยจะยอมละทิ้งปีศาจและกิจการของมัน เราต่างมีความชื่นชมยินดีในการเสด็จกลับคืนพระชน
มชีพของพระคริสตเจ้าจากความมืดของหลุมฝังพระศพ แล้วเราก็อธิษฐานภาวนาขอให้เราผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตนิรันดร จากบาปไปสู่พร
ะหรรษทาน จากความเหนื่อยล้าไปสู่การมีพละกำลัง และจากความอ่อนแอตามประสาผู้สูงอายุไปสู่พลังหนุ่ม จากความเจ็บปวดแห่งไม้กางเขนไปสู่สันติและเอกภาพกับพระเจ้า และจากโลกที่เต็มไปด้วยความบาปไปหาพระบิดาเจ้าในสรวงสวรรค์
การตื่นเฝ้าในคืนปัสกานี้จะประกอบด้วย
1.พิธีกรรมสั้นๆ แห่งแสงสว่าง
2.พระศาสนจักรรำพึงถึงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ที่พระคริสตเจ้าได้กระทำสำเร็จเพื่อประชากรของพระองค์ 3.พิธีกรรมแห่งศีลล้างบาป
4.สัตบุรุษได้รับการเชื้อเชิญไห้ไปรับประทานที่โต๊ะศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระคริสตเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้ โดยอาศัยการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์
|