1.คำสอนของพระศาสนจักรยุคต้นๆและยุคปิตาจารย์
2.ข้อความเชื่อเรื่องพระจิตจากสภาสังคายนา 3.อัตลักษณ์และงานของพระจิต 4.ความศรัทธาต่อพระจิต 5.พระพรของพระจิต
1.คำสอนของพระศาสนจักรเรื่องพระจิตเจ้า
พระจิตทรงเป็นพระบุคคลที่สามในพระตรีเอกภาพ...
คำสอนเรื่องพระจิตนี้ปรากฎให้เห็นอย่างแจ้งชัดและอย่างมีนัยยะ ทั้งในพระคัมภีร์ ในผลงานเขียนของนักเขียนคริสตชนรุ่นแรกๆในบรรดาปิตาจารย์และในผลงานเขียนของนักเทววิทยาของพระศาสนจักร
ภายใต้การนำของพระศาสนจักรที่ได้รับมอบอำนาจในการสอนจากพระเยซูเจ้า ซึ่งได้มีการพัฒนาอย่างเป็ นขั้นเป็นตอนมาเป็นลำดับ เช่น นักบ
ุญเคลเมนต์แห่งโรม นักบุญอิกญาซีโอแห่งอันติโอ๊ค นักบุญจัสตินมรณสักขี แตร์ตุลเลียน นักบุญอาธานาส นักบุญซีริลแห่งเยรูซาเล็ม นักบุญฮีลารี สามปิตาจารย์แห่งแคว้นคัปปาโดเชีย คือ
นักบุญบาซิล นักบุญเกรกอรี่แห่งนาซีอานส์และนักบุญเกรกอรี่แห่งนิสสา นักบุญออกัสติน นักบุญซีริลแห่งอเล็กซานเดรียและนักบุญยอห์นแห่งดามัสคัส
คำสอนเรื่องพระจิตเจ้าของท่านเหล่านี้ กล่าวโดยสรุปก็คือ
1.พระจิตทรงเป็นพระเจ้า
2.พระจิตทรงออกมาจากพระบิดา ผ่านทางพระบุตร
3.พระจิตทรงมีความสัมพันธกับพระบุตร เช่นเดียวกับที่พระบุตรทรงมีความสัมพันธ์กับพระบิดา
4.ทั้งสามพระบุคคลทรงมีพระธรรมชาติพระเจ้าเดียวกัน
5.พระบิดาทรงทำงานผ่านทางพระบุตรในพระจิต
6.พระบุตรและพระจิตทรงเป็นและมีทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นเดียวกับพระบิดาเพียงแต่พระบิดามิได้มีกำเนิดจากผู้ใดหรือสิ่งใด และไ
ม่ ได้ออกมาจากผู้ใดหรือสิ่งใด
2.ข้อความเชื่อเรื่องพระจิตจากสภาสังคายนาของพระศาสนจักร
เนื่องจากในยุคต้นๆของพระศาสนจักร ได้มีกระแสที่ออกมาต่อต้านคำสอนเรื่องพระจิตเจ้า จึงในปี ค.ศ. 382 พระสันตะปาปา นักบุญดามาซูส ได้เรียกประชุมบรรดาพระสังฆราชที่กรุงโรม โดยได้สอนว่า
 1.พระจิตทรงมีฤทธานุภาพและพระธรรมชาติเดียวกันกับพระบิดาและพระบุตร 2.พระจิตทรงเป็นนิรันดร์ และทรงออกมาจากพระบิดาเจ้า มีพระธรรมชาติพระและทรงเป็นพระเจ้าแท้
3.พระจิตทรงสามารถกระทำและรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และเช่นเดียวกับพระบิดาและพระบุตร พระองค์ทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง 4.ทั้งสามพระองค์ทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกัน เท่าเสมอกันในทุกสิ่งทุกอย่าง และมีอำนาจเหนือสิ่งสร้างทั้งมวล
5.พระจิตต้องได้รับการคารวะจากสิ่งสร้างทั้งมวล เช่นเดียวกับที่พระบิดาและพระบุตรได้รับ
จากนั้น ได้มีสภาสังคายนาของพระศาสนจักรอีกหลายครั้งที่ได้สอนเรื่องพระจิตอย่างเปิดเผยและ
แจ่มแจ้ง ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1.พระจิตทรงเป็นพระเจ้าแท้
2.พระจิตไม่ได้ถือกำเนิดหรือเกิด แต่ทรงออกมาจาก (not begotten, but proceed) 3.พระจิตทรงออกมาจากพระบิดาและพระบุตร 4.พระจิตทรงออกมาจากพระบิดาและพระบุตร เสมือนออกมาจากหลักการเดียว
3.อัตลักษณ์และงานของพระจิต
บรรดานักเทววิทยาโดยทั่วๆไปถือกันว่าพระบุตรทรงบังเกิดจากพระบิดา โดยการบังเกิดทางพุทธิปัญญา ส่วนพระจิตนั้นทรงออกมาจากความรักและเจตจำนงที่มีต่อกันของพระบิดาและพระบุตร นักบุญออกัสตินกล่าวว่าพระจิตออกมาจากพระบิดาและพระบุตร เพราะว่าพระจิตทรงเป็นความรักหรือความศักดิ์สิทธิ์ของพระบุคคลทั้งสอง พระจิตทรงเป็นความรักระหว่างพระบิดาและพระบุตร พระจิตทรงเ
ป็นจิตวิญญาณของพระศาสนจักรซึ่งเป็นพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า และทรงประทับอยู่ในวิญญาณของสัตบุรุษที่อยู่ในสถานะของ
พระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร ภารกิจบันดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระกายทิพย์และวิญญาณของสัตบุรุษแต่ละคน เป็นงานเฉพาะของพระจิตในการบันดาลให้เกิดความรักและความศักดิ์สิทธิ์
4.ความศรัทธาต่อพระจิต
มีมาตั้งแต่สมัยพระธรรมเก่าแล้ว แม้ว่าพวกฮีบรูจะถือว่าพระจิต/ลมหายใจ/พระพาย เป็นปรากฏการณ์หรือพฤติก รรมของการสถิตอยู่
ของพระเจ้า มากกว่าที่จะเป็นพระบุคคล/พระจิต และในศตวรรษแรกๆของพระศาสนจักร ก็ยังไม่มีคำสอนและความศรัทธาที่แจ้งชัดเกี่ยวกับพระจิตในฐานะที่เป็นพระบุคคลที่สามของพระตรีเอกภาพ ต้องรอจนกระทั่งถึงกลางศ
ตวรรษที่ 4 คำสอนเรื่องพระจิตจึงจะได้รับการอธิบายอย่างแจ้งชัดยิ่งขึ้นและค่อนข้างครบถ้วน แต่ความศรัทธาต่อพระจิตเจ้า ก็ยังมิได้บังเกิดขึ้นอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ความศรัทธาต่อพระจิตเจ้าในฐานะเป็นพระผู้บัน
ดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้กับสัตบุรุษ ได้มีมาตั้งแต่ยุคแรกๆของพระศาสนจักร ความศรัทธาภักดีนี้ได้รับการยืนยันและสนับสนุนจากสุสานศิลาจารึกและบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ เช่น บทเพลง Veni Sancte Spiritus และ Veni
Creator Spiritus และจากสมัยกลางเป็นต้นมา ความศรัทธาต่อพระจิตได้แพร่หลายมากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงสมณสมัยของพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 พระองค์ได้ทรงออกพระสมณสาสน์ Divinum Illud Munus (1897) โดยในพระสมณสาสน์นี้ พระองค์ได้ทรงเชิญชวน
1.ให้บรรดาสัตบุรุษแสดงออกซึ่งความคารวะขั้นสูงสุดแห่งความรักและความศรัทธาภักดีต่อองค์พระจิตเจ้า
2.ให้บรรดาพระสงฆ์ นักบวชและผู้มีหน้าที่ดูแลวิญญาณของบรรดาสัตบุรุษ ต้องรำลึกไว้อยู่เสมอว่าตนมีหน้าที่สอนพวกเขาให้รู้จั
กและรักพระจิตเจ้ามากๆ
3.ให้สวดภาวนาขอต่อพระจิตเจ้าสำหรับพระพรต่างๆที่จำเป็น เพราะพระองค์สามารถประทานให้ได้อย่างอุดม
4.ให้พยายามหลีกเลี่ยงบาปเท่าที่ทำได้ เพราะการทำบาปเป็นการทำขัดเคืองพระทัยพระจิตเจ้า
5.เนื่องจากพระจิตเจ้าเป็นพระจิตแห่งความจริง ผู้ใดที่ไม่ยอมรับความจริง ต้องถูกถือว่าทำขัดเคืองพระทัยพระองค์
6.เนื่องจากพระจิตทรงพำนักอยู่ในวิญญาณของผู้ชอบธรรม เขาผู้นั้นจึงต้องมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้
วยคุณธรรมแห่งความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์
7.ให้เราภาวนาวิงวอนขอพระจิตเจ้าอยู่เนืองๆ สำหรับการคุ้มครองดูแลและความช่วยเหลือและการแนะนำจากพระองค์ เพราะพระอง
ค์ทรงเป็นท่อธารแห่งการส่องสว่าง พละกำลัง การปลอบโยนและความศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งการขออภัยบาปของเราจากพระองค์ด้วย
8.ให้เราอธิษฐานภาวนาวิงวอนขอพระองค์ ได้ส่องสว่างจิตวิญญาณของเราทุกๆวัน ด้วยการส่องสว่างและด้วยเพลิงแห่งความรักข
องพระองค์ เพื่อว่าเราจะได้สามารถดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า
9.ให้ทำนพวารพระจิตเจ้า ไม่ว่าจะเป็นในระดับวัด หมู่คณะ หรือส่วนตัวก็ได้ เพื่อเป็นการเตรียมสมโภชพระจิตเจ้าและรับพระคุณขอ
งพระองค์ ทั้งยังสามารถได้รับพระคุณการุญ 7 ปีและพระคุณการุญครบบริบูรณ์ในวันใดวันหนึ่งของการทำนพวารนี้ โดยทำตามเงื่อนไขที่พระศาสนจักรกำหนดไว้
10.ให้ภาวนาวิงวอนขอแม่พระให้เรามีความศรัทธาและความรักต่อพระจิตเจ้า เช่นเดียวกับที่พระแม่ทรงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
กับพระองค์ในธรรมล้ำลึกแห่งการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ขององค์พระบุตรพระเจ้าและในการเสด็จมาของพระองค์ ยังบรรดาอัครสาวกขององค์พระเยซูเจ้า
5.พระพรของพระจิต
ที่มาของคำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องของพระพรของพระจิตเจ้า เป็นการเผยแสดงขององค์พระจิตเจ้าเองในพระธรรมเก่าและพระธรรมใหม่ และในชีวิตของพระศาสนจักร พระจิตที่สัญญาไว้โดยท่านประกาศกอิสยาห์ (11: 1-3) ได้ทำการเผยแสดงพระองค์เ
องในการรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าในแม่น้ำจอร์แดนจากท่านยอห์น แบปติสต์ และได้แจกจ่ายให้กับบรรดาอัครสาวกในวันเปนเตคอสเต/พระจิตเสด็จลงมา หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้ทรงแจกจ่ายพระพรเหล่านี้ให้กับพระศาสนจักรของพระเยซูเจ้า ซึ่งได้ดำเนินอยู่ภายใต้กา
รกำกับดูแลขององค์พระจิต พระศาสนจักรได้แลเห็นพระพรที่ได้ทรงสัญญาไว้โดยท่าน ประกาศกอิสยาห์ (ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮีบรู ม
ี 6 ประการ ส่วนในฉบับภาษาลาติน/Septuaginta มี 7 ประการ) ก่อนอื่นได้สำเร็จลงในองค์พระคริสตเจ้าเอง จากนั้นก็ได้สำเร็จลงใน
พระกายทิพย์ขององค์พระเยซูคริสตเจ้า คือในพระศาสนจักรของพระองค์ ดังที่สภาสังคายนาวาติกัน ที่ 2 ได้ทรงยืนยันว่าเป็นเพราะในดวงวิญญาของบรรดาสัตบุรุษที่ประกอบกันขึ้นเป็นพระกายทิพย์ของพระคริสต์ ที่พระจิตเจ้าจะทรงประทานพระพร ของพระองค์ให้เป็นสวัสดิภาพของพระศาสนจักร
ในยุคของบรรดาปิตาจารย์...ท่านเหล่านี้แลเห็นคู่ขนานกันไประหว่างพระพร 7 ประการของพระจิตเจ้ากับจิต 7 องค์ของหนังสือวิวรณ์และกับขนมปัง 7 ก้อนในอัศจรรย์ทวีขนมปัง (นักบุญฮีลารี) และกับบุญลาภ 8 ประการของพระเยซูเจ้า (นักบุญออกัสติน)
ในสมัยกลาง...บรรดานักเทววิทยาส่วนใหญ่ถือกันว่าพระพรของพระจิต ก็คือบรรดาคุณธรรมต่างๆ ต่อมาภายหลัง โดยมีนักบุญโทมัส อะไควนัส เป็นแกนนำ ได้ยึดถือว่าพระพรของพระจิตนั้น แตกต่างและอยู่เหนือกว่า สูงส่งกว่าคุณธรรม
คำสอนของนักบุญโทมัส อะไควนัส...ท่านได้ให้เหตุผลว่าวิญญาณต้องการความช่วยเหลือเหนือ
ธรรมชาติ เพื่อว่าวิญญาณนั้นจะสามารถเป็นที่พักพิงและเป็นที่ทำกิจกรรมต่างๆขององค์พระจิตเจ้าได้ และความช่วยเหลือเหนือธรรมชาตินี้ ก็มิใช่เป็นอะไรอื่น นอกเสียจากพระพรทั้ง 7 ประการของพระจิตเจ้านั่นเอง...ในชีวิตแห่งพระหรรษทานตามธรรมชาติของมนุษย์ ในเมื่อพระเจ้ายังได้ทรงประทานความช่วยเหลือด้วยคุณธรรมต่างๆให้ ดังนั้น สำหรับชีวิตเหนือธรรมชาติ พระเ
จ้ายิ่งต้องประทานความช่วยเหลือมากกว่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อบันดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้กับบรรดาสัตบุรุษ อันเป็นหน้าที่เฉพาะขององค์พระจิตเจ้า
พระพรของพระจิตเจ้า มี พระดำริ สติปัญญา ความคิดอ่าน พละกำลัง ความรู้ ความศรัทธา และความยำเกรงพระเจ้า...พระดำริ สติปัญญา และความคิดอ่าน จะช่วยนำทางจิตใจของเราและช่วยเหลือมโนธรรมของเราในการแยกแยะว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด พละกำลังจะช่วยเราให้กระทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งนั้นจะยากลำบากหรือไม่เป็นที่ชื่นชอบ ส่วนความยำเกรงพระเจ้า จะทำให้เรายำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริง
นักบุญเปาโล กล่าวถึงผลของพระจิตว่า ผลของพระจิตเจ้าคือความรัก ความชื่นชม ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ควา
มใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งงดงามและทำให้ชีวิตมีความชื่นชมยินดี (กท 5: 22)
โดยอาศัยพระพรของพระจิตเจ้า บรรดาสัตบุรุษที่พูดภาษาต่างกัน ต่างก็เรียนรู้ที่จะยืนยันความเชื่อเดียวกัน ร่วมใจกันสรรเสริญ
องค์พระเจ้าเดียวกันและปฏิบัติความรักที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกำชับไว้ นี่แหละที่เป็นอัศจรรย์ที่แท้จริงของวันพระจิตเสด็จลงมา และก็ยั
งเป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทุกๆวันในพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ เวลาที่พวกเขามาร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณ
|