หลังจากที่ได้ผ่านอุปสรรคนานาประการ
ที่สุดอารามก็ได้ย้ายมาอยู่ที่คลองเตย โดยทางอารามได้ซื้อที่ดินของบริษัทอีสเอเชียติ๊ก อารามแห่งใหม่นี้ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของบรรดาสมาชิกรุ่นแรก ช่วงที่ย้ายออกมาจากสามเสนนั้นอารามยังสร้างไม่เสร็จ
สมาชิกของคณะที่มีชีวิตอยู่ในขณะที่ย้ายอารามได้เล่าว่า บ้านของอารามนั้นเสร็จแค่ 2 ประตู จัดเตียงให้คุณแม่เซราฟินและเซอร์มารี เต็ก นอน
ส่วนพวกเรานอนที่ระเบียงชั้นสองซึ่งเป็นพื้นซีเมนต์ขรุขระ ยังไม่ได้ปูกระเบื้อง พวกพี่ๆ ช่างเย็บก็เย็บกันใกล้ๆ เตียงคุณแม่ ส่วนพวกเราเด็กๆ ที่เข้าอารามไม่ถึง 3-4 ปี ก็ช่วยกันทำงานอยู่กลางนา ขุดบ่อหาน้ำอาบ
ไปหาผักเป็นอาหาร เช่น ผักบุ้ง กะทกรก กระถิน บางครั้งฝนตกก็ไปจับปูนา กุ้ง ฯลฯ ตามท้องนาร่องน้ำ หรือช่วยกันขุดหลุมปลูกข้าวโพด เวลาแดดจัดจะร้อนมากและกระหายน้ำ หาน้ำดื่มก็ไม่ได้
มีแต่น้ำเค็มหรือน้ำกร่อยที่นำมาใช้สำหรับอาบ บางคนถึงกับร้องไห้เพราะหิวน้ำ บางคนจะเข้าไปหลบแดดในตู้ใหญ่ๆ ที่ขนมาและก็ผล็อยหลับไป สัตบุรุษที่สามเสนทราบว่าไม่มีน้ำดื่มก็สงสาร ขนน้ำใส่รถมาให้เป็นครั้งคราว ซิสเตอร์เบอาตริกซ์ ขุดบ่อจะ มีน้ำใช้ เหนื่อยก็นั่งพักปั้นตุ๊กตาเล่นอยู่ในบ่อนั่นเอง
ในปี ค.ศ. 1937 / 2480
คุณแม่เซราฟินได้ริเริ่มที่จะตั้งโรงเรียนขึ้น โดยใช้บริเวณชั้นสองของอารามเป็นโรงเรียนสำหรับผู้ฝึกหัดและนักเรียนนอก และในปีนี้เองเป็นปีที่ทางโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ได้จัดทำการฉลองครบ 75
ปี ของการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ การฉลองนี้จะมีขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคมที่จะถึง และทางโรงเรียนได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราช
สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาเป็นองค์ประธานในงานฉลองนี้
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
อารามได้ถูกขอให้ทหารญี่ปุ่นเข้ามาใช้เป็นที่พำนักชั่วคราวนานถึงหนึ่งเดือน มีทหารญี่ปุ่นจำนวนกว่าหนึ่งพันนายได้เข้ามาอาศัยอยู่ในอาราม พวกนายทหารชั้นผู้ใหญ่นั้นประพฤติตนถูกต้อง ส่วน
นายทหารผู้น้อยนั้นเป็นเหมือนขโมยและนักล้วงนักค้น พวกเขาได้งัดตู้เอาผ้าที่บรรดาซิสเตอร์ได้เก็บเอาไว้ไปขายที่ตลาด และเอาหนังที่ใช้ทำกระเป๋าขายมาเย็บเป็นรองเท้าใส่
หลังจากที่ทหารญี่ปุ่นได้ออกไปแล้ว ทางสถานทูตฝรั่งเศส
ก็ได้มาขอใช้อารามเป็นสำนักงานชั่วคราว คุณแม่เซราฟินก็ได้อนุญาตให้ทางสถานทูตเข้ามาใช้ชั่วคราวได้ เนื่องจากฝรั่งเศสเป็นฝ่ายพันธมิตรและทางสถานทูตกลัวถูกทิ้งลูกระเบิด โดยเฉพาะเอกสารสำคัญๆ อาจถูกทำลาย
และเมื่อครั้งเกิดสงครามอินโดจีน รัฐบาลได้มาขอเวรคืนที่
ดินและขอตึกอาราม คุณแม่เซราฟินได้บอกกับบรรดาเจ้าหน้าที่ที่มาพบว่า จะย้ายอารามไปที่ไหนก็ได้ แต่ต้องสร้างตึกให้เหมือนแป
ลนของฉันทุกอย่าง และให้คนงานก่อสร้าง 2 คนของฉันเป็นคนควบคุม คือ นายบัว ประคองจิตร และนายฟรังซิส อีกทั้งต้องขุดต้นมะม่วง และต้นไม้อื่นๆ ไปปลูกให้เหมือนกับที่อารามนี้ทุกอย่าง แล้วคุณแม่เซราฟินก็ให้เขาดูแปลน เจ้าหน้าที่คิดงบประมาณว่าต้องใช้เงินหลายล้านบาทจึงไม่กล้าเวรคืนที่ดิน
คุณแม่เซราฟินได้อยู่กับอารามภคินีพื้นเมืองแห่งกรุงเทพฯ
นานกว่า 50 ปี ท่านทุ่มเทกำลังกายกำลังใจให้แก่งานที่ท่านได้รับมอบหมายจนถึงวินาทีสุดท้าย ตลอดระยะเวลายาวนาน ท่านมีโอกาสกลับไปประเทศฝรั่งเศสเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ก็คือ ในปี ค.ศ.
1925 / พ.ศ. 2468 และ ค.ศ. 1949 / พ.ศ. 2492 ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปหมด พ่อแม่และพี่น้องบางคนก็ได้จากไปแล้ว
คุณแม่เซราฟิน เดอ มารี ได้เข้ามาเป็นมิสชันนารีในประเทศ
สยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และคุณแม่ก็ได้ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1952 / พ.ศ. 2495 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน คุณแม่เป็นมิสชัน-นารีนานถึง 5 แผ่นดิน
ฯพณฯ พระสังฆราชหลุยส์ โชแรง (ประมุขมิสซังกรุงเทพฯ ระหว่างปี ค.ศ. 1947 / พ.ศ. 2490 ค.ศ. 1965 / พ .ศ. 2508 ) ได้กล่าวถึงเธอไว้ว่า ... เธอปรารถนาแสวงหาพระเป็นเจ้าและวิญญาณทั้งหลายด้วยพลังความรักทั้งหมดท
ี่เธอมี เธอเป็นคนมุ่งมั่นขั้นวีรกรรม ได้ฟันฝ่าอุปสรรคตามประสามนุษย์ทุกชนิด....เธอได้อุทิศตนเพื่องานที่ยิ่งใหญ่และมีเมตตาธรรมมากกว่า นั่นก็คือ เปิดขอบฟ้าแห่งชีวิตนักพรตแก่บรรดาหญิงชาวสยาม ชาวเวียดนาม
ชาวจีน ที่มาเคาะประตูอารามที่สามเสน และที่คลองเตยในเวลาต่อมา...เซอร์เซราฟินมีปฏิภาณไหวพริบในการลงมือปฏิบัติ และมีความเชื่อที่กล้าหาญตามแบบชาวแคว้นอัลซาส เธอเป็นนักพรต เป็นอธิการที่ดึ
งดูดบรรดาเด็กสาวผู้ปรารถนาจะถวายตนแด่พระเป็นเจ้า เธอได้อออกเดินทางไปตามวัดต่างๆ สม่ำเสมอ ทำให้มีเด็กสาวเข้าคณะเป็นร้อย... เซอร์เซราฟินได้ใช้ชีวิตนักพรตของเธอทั้งหมดในงานธรรม
ทูตอย่างแท้จริง...คงเป็นการยากที่มิสซังคาทอลิกจะทดแทนหนี้ที่มีต่อเซอร์เซราฟินได้.....
พระคุณเจ้าโชแรงได้กล่าวเพิ่มเติมไว้อีกว่า เรายังจำภาพของเธอได้ดี เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็ก ไม่สูงมากนัก เธอมีสีหน้าที่สงบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความมั่นใจ แม้บางครั้งจะมีริ้วรอยแห่งควา
มเศร้าอยู่บ้าง
และนี่คือบทบาทของสตรีร่า
งเล็กๆ ชาวอัลซาส สมาชิกคนหนึ่งของคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ธรรมทูตหญิงที่มีความกล้าแกร่ง เต็มไปด้วยความอดทนและบากบั่น มากไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ เธอมีความสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา ก็คือ อังกฤษ
ฝรั่งเศส เยอรมัน เวียดนาม และไทย โดยไม่นับภาษาอัลซาส ภาษาพื้นเมืองของเธอ เธอได้จากโลกนี้ไปแล้วเพื่อไปรับรางวัลจากพระเป็นเจ้าจนถึงวันนี้เป็นนาน 60 ปี เธอได้ทิ้งเพียงร่างไว้ในสุสานของอารามพระหฤทัยขอ
งพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ เพื่อเป็นเหมือนดังคำที่เธอได้เขียนบอกกับพระสังฆราชเรอเน แปร์รอส (ประมุขมิสซังสยามระหว่างปี ค.ศ. 1909 / พ.ศ. 2452 - ค.ศ. 1947 พ.ศ. 2490) ว่า
|